จะมีอะไรดีไปกว่าการให้เด็ก ๆ ได้มีกิจกรรมผจญภัยท่ามกลางธรรมชาติ และครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะได้ความสนุกสนานแล้วยังเพิ่มพัฒนาการของลูกน้อย รวมถึงการได้เสริมสร้างจินตนาการอย่างเต็มที่ การมองหาที่พักสำหรับครอบครัวท่ามกลางธรรมชาติจึงมีความสำคัญต่อเด็กไม่แพ้การเรียนรู้ในด้านอื่น ๆ เลย
ทำไมต้องเปิดพื้นที่การเรียนรู้ธรรมชาติให้แก่เด็ก ๆ
การอยู่ในสังคมเมืองอาจจะเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มมาตรฐานการศึกษา และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชีวิตของเด็ก ๆ แต่การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจะเป็นการสร้างให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ เปิดโลกแห่งจินตนาการ และทำให้พัฒนาการของเด็ก ๆ กว้างไกลยิ่งกว่าเดิม
เด็ก ๆ มีอิสระในการเรียนรู้ และสามารถเลือกเล่นตามความสนใจ
การเล่นอิสระ หรือ Freeplay นั้นมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ มาก นอกจากจะช่วยปลดปล่อยพลังงานที่มีอย่างล้นเหลือแล้ว ยังช่วยเพิ่มความกล้า ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เล่นอย่างอิสระในพื้นที่ปลอดภัยและปราศจากอันตราย จะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถค้นหาความสนใจของตัวเองได้อย่างแท้จริง ซึ่งอาจจะทำให้เด็ก ๆ ได้มีความสุขกับกิจกรรมที่ทำมากยิ่งขึ้น
ด้วยวัยเด็กเป็นวัยที่มีจินตนาการและมีอิสระทางความคิดสูง ไม่มีกรอบความคิดหรือความรู้มาครอบ ทำให้จินตนาการของเด็ก ๆ ไร้ขีดจำกัด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทำให้เด็ก ๆ สามารถตั้งคำถามและตั้งข้อสังเกตได้โดยอิสระ และนำไปสู่การค้นหาคำตอบในท้ายที่สุด
เพิ่มทักษะด้านการเรียนรู้ทางสังคม
การปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เล่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือเล่นอิสระกับเด็กคนอื่น ๆ จะช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางสังคมให้แก่เด็ก ๆ
ปัจจุบันครอบครัวเมืองมักจะเป็นครอบครัวเดี่ยวที่มีลูกเพียง 1 หรือ 2 คนเท่านั้น และยิ่งหากว่าพ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้วิ่งเล่นในพื้นที่เปิดโล่งหรือในพื้นที่ธรรมชาติกับเด็กคนอื่น ๆ ก็จะยิ่งทำให้เด็กไม่กล้าที่จะเข้าสังคมหรือเล่นกับเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ได้
การเรียนรู้ทักษะทางสังคมจะช่วยให้เด็กรู้จักเผชิญกับความกลัวและความตื่นเต้น ไปพร้อมกับการเรียนรู้ในการจัดการด้านอารมณ์ และการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน และช่วยสนับสนุนทางจิตใจ ซึ่งจะพัฒนาต่อเนื่องไปในเรื่องบุคลิกภาพที่ดีในอนาคต
เพิ่มความช่างสังเกต และรู้จักที่จะคิดเป็นเหตุเป็นผลเพื่อหาคำตอบ
ห้องเรียนธรรมชาติ เป็นห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ มีสิ่งที่ให้เด็ก ๆ ได้คิดสงสัยและค้นหาคำตอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำไมใบไม้จึงร่วงลงมา ทำไมนกไม่ออกลูกเป็นตัว แต่ออกลูกเป็นไข่ ทำไมนกถึงบินได้ ทำไมหนอนจึงแปลงร่างเป็นผีเสื้อได้ ทำไมงูถึงมีการลอกคราบ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แม้แต่สวนสนุกหรือศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่สามารถสร้างได้ การปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และสังเกตธรรมชาติรอบตัว จะช่วยให้พวกเขาพยายามค้นหาคำตอบ ซึ่งจะเป็นการฝึกให้เด็ก ๆ รู้จักการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากยิ่งขึ้น เพราะแม้แต่เซอร์ไอแซค นิวตัน ที่คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงได้ ก็มาจากการที่เขาสังเกตธรรมชาติจากจุดเล็ก ๆ อย่างการเห็นลูกแอปเปิลตกลงพื้น ก่อนจะพัฒนาเป็นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงที่ทั่วโลกยอมรับในอีกหลายปีต่อไป
เสริมสร้างจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์เรื่อง What Life Means to Einstein : An Interview by George Sylvester Viereck ไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะความรู้มีขีดจำกัด แต่จินตนาการคือสิ่งที่หมุนโลกของเราให้ก้าวเดิน”
ไม่ว่าเด็ก ๆ จะเติบโตเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือเป็นจิตรกร จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญเสมอ คนที่มีจินตนาการมากกว่าจะเปิดประตูและขยายความคิดได้กว้างกว่า รวมไปถึงการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่าด้วย ตัวอย่างเช่น หากว่าเราแกะถุงขนมไม่ได้ บางคนอาจจะพยายามแกะต่อไป บางคนอาจจะหากรรไกร หรือบางคนอาจจะใช้ปากกาที่มีปลายแหลมแทงเป็นรอยปุให้แกะง่าย ซึ่งไม่ว่าจะวิธีไหนผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการแกะห่อขนมเช่นเดียวกัน
ดังนั้น การให้เด็ก ๆ ได้เล่นกับธรรมชาติที่ไม่มีข้อจำกัด จึงเป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ให้เปิดกว้างขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก
สำหรับเด็ก ๆ แล้ว การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทั้งมัดใหญ่และมัดเล็กมีความสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ โดยตรง โดยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ คือ กล้ามเนื้อขา แขน ลำตัว ซึ่งจะช่วยเพิ่มทักษะและความสมดุลของร่างกายในการทรงตัว ทำให้เด็ก ๆ สามารถยืน เดิน และวิ่งได้อย่างมั่นคง และว่องไว ส่วนกล้ามเนื้อมัดเล็กก็คือ กล้ามเนื้อในส่วนของมือ พัฒนาได้โดยการจับ ปั้น และออกแรงต่าง ๆ นอกจากจะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถหยิบจับสิ่งของได้อย่างมั่นคงแล้ว ยังช่วยให้เด็ก ๆ สามารถเขียนและวาดได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ การได้เรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติ จะกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้สังเกตและสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้เดิน วิ่ง นั่ง ลุก ซึ่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้หยิบได้จับใบไม้และสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก จึงช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง และส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
กิจกรรมที่ช่วยเปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้แก่เด็ก ๆ
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าการให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติ จะส่งผลต่อพวกเขาในด้านการเรียนรู้และพัฒนาการ ต่อไปเราจะยกตัวอย่างถึงกิจกรรมที่ช่วยเปิดพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็ก ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
สำรวจธรรมชาติ เพิ่มทักษะการช่างสังเกตและการเรียนรู้
เปิดพื้นที่อิสระที่โอบล้อมไปด้วยความปลอดภัยให้เด็ก ๆ ได้สำรวจธรรมชาติได้อย่างอิสระ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความช่างสังเกต และรู้จักการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะมีสมุดให้เด็ก ๆ ได้จดหรือวาดภาพสิ่งที่สนใจ หรือสำรวจพบเจอ หรือสิ่งที่สงสัย จากนั้นฝึกตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน และนำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งในการค้นหาคำตอบคุณพ่อคุณแม่อาจจะช่วยน้อง ๆ ตั้งข้อสังเกตและหาคำตอบร่วมกัน
การปล่อยให้เด็ก ๆ ได้สำรวจธรรมชาติมากเท่าไร เขาก็จะได้เรียนรู้และสังเกตถึงความเป็นไปของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ดีมากขึ้นเท่านั้น
ตั้งแคมป์ เพิ่ม IQ และ EQ
รู้หรือไม่ว่าการพาเด็ก ๆ ออกไปตั้งแคมป์ตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยเพิ่มทั้ง IQ และ EQ เพราะการตั้งแคมป์จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะการวางแผน ตั้งแต่การเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการตั้งแคมป์ รู้จักการที่จะช่วยเหลือตัวเอง เมื่อเดินทางไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและไม่สะดวกสบายเหมือนกับที่บ้าน ซึ่งการให้เด็ก ๆ ได้ไปสำรวจธรรมชาติและสิ่งรอบตัวเช่นนี้ ยังจะช่วยให้พวกเขาได้เปิดโลกใหม่ ๆ อีกด้วย
เดินป่า เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
อย่าคิดว่าการเดินป่าเป็นเรื่องอันตรายและยากไปสำหรับเด็ก ๆ เพราะการเดินป่าช่วยฝึก EF หรือ Executive Functions ซึ่งเป็นทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคตของเด็ก ๆ การเดินป่าเป็นการฝึกทักษะหลากหลายประเภท ทั้งการวางแผน การจัดการ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การฝึกการระแวดระวังภัย รวมถึงความพยายามในการทำเป้าหมายให้สำเร็จไปได้ด้วยดี
การทำสวนและเก็บผัก ฝึกความรับผิดชอบ
เด็ก ๆ จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตได้ จำเป็นจะต้องมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม การฝึกให้เด็ก ๆ ได้รับผิดชอบอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ใส่ปุ๋ย และเก็บผลผลิต จะช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักความรับผิดชอบและอดทนรอ ซึ่งเราอาจจะเริ่มจากการปลูกผักง่าย ๆ อย่างถั่วงอก แล้วค่อยเพิ่มระดับความยากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่องนก ฝึกความช่างสังเกตและเรียนรู้ระบบนิเวศ
การส่องนกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องอาศัยความช่างสังเกตและอดทน ในระยะแรกเราอาจจะพาเด็ก ๆ คล้องกล้องส่องทางไกล ไปยังสวนนก จากนั้นค่อยพาเด็ก ๆ เข้าป่าส่องนก ซึ่งนกในบริเวณต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศในพื้นที่นั้น ๆ จึงทำให้เด็ก ๆ ได้สังเกตและเรียนรู้ระบบนิเวศที่มีความสัมพันธ์กันเป็นห่วงโซ่ทางธรรมชาติ
Intergeneration Living สำคัญกับเด็กอย่างไร
ไม่เพียงแต่การทำกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติเท่านั้น แต่การทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวที่อยู่ในช่วงวัยที่หลากหลาย จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ และความสุขให้แก่เด็ก ๆ ได้เช่นเดียวกัน เพราะการเล่นและทำกิจกรรมกับคนต่างวัย อย่างคนรุ่นปู่ย่าตายาย จะช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรื่องใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากพ่อแม่ รู้จักอ่อนน้อม รู้จักดูแลผู้อื่น และเข้าใจว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขคืออะไร
ที่สำคัญ การอยู่ร่วมกันหลายเจเนอเรชั่น ก็ช่วยสร้างความสุข ลดความเจ็บป่วย และลดความเหงาของผู้สูงอายุ ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดี ทั้งกายและใจ
ตอนนี้ทุกคนคงพอเห็นประโยชน์ของการที่ให้เด็ก ๆ อาศัยและเรียนรู้ธรรมชาติกันแล้ว แต่คงจะดีกว่า หากว่าเราได้อาศัยอยู่ในที่พักสำหรับครอบครัวที่มีคนทุกเจเนอเรชันอยู่ร่วมกัน ท่ามกลางธรรมชาติ มีพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ และสังเกตระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ (Observing Wildlife) ซึ่งจะเป็นพื้นที่ Education & Discovery สำหรับคนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็ก ๆ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีอยู่ในโครงการของ The Forestias พื้นที่ที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว